ประวัติ องค์หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

#สังเขปประวัติ องค์หลวงปู่ลี กุสลธโร
วัดภูผาแดง ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

#องค์หลวงปู่ลี กุสลธโร นามเดิมขององค์ท่านชื่อ ลี สาลีเชียงพิณ
ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๕ กันยายน ๒๔๖๕ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีจอ ที่อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งวันจะไม่ตรงกับในทะเบียนบ้านและหนังสือสุทธิ (ในหนังสือสุทธิเป็นวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๔๖๕ ในทะเบียนบ้านเป็นวันที่ ๔ กันยายน ๒๔๖๕ ) องค์ท่านเมตตาเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านเกิดในวันบุญข้าวสาก (บุญเดือนสิบ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐) และเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ท่านจึงให้ถือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี เป็นวันมุทิตาสักการะองค์ท่าน #ท่านเกิดที่บ้านเก่า ตำบลบ้านเก่า อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นบุตรของนายปุ่น และนางโพธิ์ สาลีเชียงพิณ มีพี่น้องร่วมอุทร ๙ คน ชาย ๔ คน หญิง ๕ คน ท่านเล่าชีวิตในวัยเด็กว่า สมัยเป็นเด็กพ่อแม่ก็พาทำบุญเหมือนกับชาวบ้านทั่ว ๆ ไป อายุได้ ๑๒ ปี เรียนจบชั้น ป. ๓ พออายุ ๒๐ กว่าปีก็ได้แต่งงานกับนางสาวตี ภรรยาตั้งท้องแล้วคลอดลูกออกมาตาย ท่านได้เกิดความสลดใจเป็นยิ่งนัก ท่านเล่าว่า การแต่งงานก็มิได้แต่งกันด้วยความรัก แต่งงานกันตามประเพณีที่พ่อแม่บอกให้แต่งเท่านั้น ท่านเองไม่เคยมีคนที่รัก และยังไม่เคยรักหญิงใดเลย ท่านอยู่กินกับภรรยาได้ ๒ ปี ๖ เดือน จึงขอออกบวช เพราะได้ฟังธรรมจากพระกรรมฐานที่เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ที่เดินธุดงค์มาพักยังป่าแถบหมู่บ้านของท่านเก่งนักในการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน พิจารณาเมื่อไหร่ ก็ได้เรื่องได้ราวเมื่อนั้น เห็นผลเป็นที่ประจักษ์เป็นอุปนิสัยดั้งเดิมของท่าน
#อุปสมบท…
ท่านบวชพระเมื่อครั้งงานเผาศพหลวงปู่พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโตและเมื่ออุปสมบทได้ฉายานามว่า “กุสลธโร” แปลว่า “ผู้ทรงไว้ซึ่งความฉลาด” เป็นลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิด พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) หลวงปู่ลี อุปสมบทที่วัดศรีโพนเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เมือวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เวลา ๑๖.๑๒ น. โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานามว่า กุสลธโร แปลว่า “ผู้ทรงไว้ซึ่งความฉลาด”
#ท่านเล่าการภาวนาในพรรษาแรกว่า “ภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ เกิดแสงสว่างวาบฉายเข้ามาเห็นภรรยาเดินเข้ามาหา มาได้ระยะห่างประมาณวากว่าๆ จึงล้มลง ร่างกายแรกกระจุยเป็นผุยผง แม้แต่กระดูกก็มองไม่เห็น กลายเป็นดินเป็นหญ้า เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สัญญาความจำได้หมายรู้ในรูปนาม ไม่ยึดไม่ติด การภาวนาจะเป็นแบบนี้ได้ต้องเกิดแสงสว่างก่อน จากนั้นการออกพิจารณาทางด้านปัญญาไหลคล่องตัวเหมือนสายน้ำตกจากที่สูงลงที่ต่ำไม่มีติดขัด
#หลวงปู่ลี ท่านนั้นติดสอยห้อยตามหลวงตามหาบัวตลอดมา แม้หลวงตาจะหนีออกวิเวกไปทางไหน หรือจะดุจะว่าจะไล่ให้หนีไปอย่างไรหลวงปู่ลีก็อดทนติดตามไปทุกหนทุกแห่งไม่เลิกไม่ราไม่ท้อถอย หวังให้ท่านช่วยอบรมสั่งสอนให้ สุดท้ายหลวงตาก็ยอมรับเป็นศิษย์ ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ ได้ติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ไปจำพรรษาที่เสนาสนะป่าห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ต่อจากนั้นท่านได้ติดตามหลวงตาไปจำพรรษายังจังหวัดจันทบุรี และย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
#ในสมัยที่หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พักอาพาธที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จังหวัดปทุมธานี หลวงปู่ลีมักจะมาเยี่ยมเยียนเสมอ และองค์หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็ชื่นชมรักใคร่หลวงปู่ลีเป็นอย่างมากเช่นกัน ท่านทั้งสองจึงเป็นสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมาก
#ท่านได้แสวงหาสถานที่เที่ยววิเวกด้วยการออกเที่ยวธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย เช่น ภูวัว ถ้ำจันทร์ จังหวัดหนองคาย และป่าแถวสกลนคร และจังหวัดเลย เป็นต้น ท่านสามารถภาวนาพิจารณาอสุภะและสุภะกรรมฐาน ตั้งเป็นภาพปฏิภาคนิมิตขึ้นแล้วเพ่งกระแสจิตทำลายเผาผลาญกิเลสได้ตั้งแต่สมัยยังเป็น ฆราวาส เมื่อบวชได้เพียง ๑๑ วัน ท่านตั้งใจภาวนาไม่ลดลาความพากเพียร ได้นิมิตว่า “ตนเองเดินทางเข้าไปในป่ากว้าง ผ่านห้วยหนองคลองบึง มีขอนไม้ชาติยาวใหญ่ดำสุดสายตา จึงเดินปีนขึ้นไปไต่ตามขอนนั้นไปเรื่อยๆ พอสุดปลายขอนไม้ชาตินั้น พลันเจอป่าอันรกชัฏมีขวากหนามรกรุงรัง จะหันหลังกลับก็ไม่ได้ จึงต้องพยายามแหวกคมหนามมุดมอดบุกผ่าเข้าไปให้ผ่านป่าอันแสนจะข้ามยากนั้น เมื่อผ่านมาได้ด้วยความยากลำบาก เจอทุ่งโล่งอันเวิ้งว้างมีหอพระไตรปิฎกอันวิจิตรตระการตาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ จึงก้าวเดินขึ้นไป เห็นห้องหอประตูตู้ กำลังจะเดินเข้าไปเปิด แต่ยังไม่ทันได้เปิด แต่ได้เข้าไปถึง จิตก็ถอนออกจากนิมิตนั้น”
#ท่านสิ้นกิเลสพรรษาที่ ๑๑ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เวลาตีสอง ตรงกับวันพุธที่ ๕ ตุลาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ ที่วัดบ้านกกกอก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า …คืนนั้นฝนตกทั้งคืน ท่านเพลิดเพลินในการภาวนา ธรรม คือ สติ สมาธิ และปัญญา หลั่งไหลเหมือนสายน้ำ จิตเต็มอิ่มในธรรม เดินจงกรมคล้ายกับว่าเท้าไม่ได้เหยียบพื้นดิน นั่งภาวนาคล้าย กับว่าตัวลอยอยู่เหนือพื้น ทำสมาธิทั้งคืนไม่นอน ไม่พักผ่อน ในขณะที่พิจารณาเข้าด้ายเข้าเข็มธรรมขั้นสุดท้าย เสียงเทวดาไชโยโห่ร้องก้องทิวเขาพนา เสียงฆ้องทิพย์ดังกระหึ่มมาเป็นระยะๆ สลับกับเสียงเทวดาไชโยแว่วมาแต่ไกล เสียงสาธุการปานว่าโลกธาตุทั้งมวลหวั่นไหว น้ำตาร่วงอัศจรรย์เกินที่จำมาเล่าได้ คืนนั้นเสวยวิมุตติสุขสุดที่จะพรรณนา ต่อมาท่านได้นำเรื่องธรรมที่ได้รู้เห็นไปกราบเรียนหลวงตามหาบัว ผู้เป็นอาจารย์ทุกประการ
#หลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านบวชเณรเมื่อครั้งงานเผาศพหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากนั้นท่านก็ได้ติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จนกระทั่งมาสร้างวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี หลวงปู่ฯท่านพระลูกศิษย์หลวงตามหาบัว รุ่นแรก ๆ เลยก็ว่าได้ สำหรับภูมิธรรมของหลวงปู่ฯนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้หลวงตาบัวท่านก็ได้เทศน์ประกาศให้ลูกศิษย์ได้รับรู้รับทราบกันกระจ่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ว่าหลวงปู่ลีท่านถึงที่สุดแห่งธรรมมานานแล้วนะ แต่ท่านอยู่ของท่านอย่างเงียบ ๆ รู้กันเฉพาะในวงกรรมฐานเท่านั้น
#หลังจากงานประชุมเพลิงหลวงปู่ใหญ่มั่นฯ เสร็จแล้ว องค์ท่านก็ได้มาอยู่สำนักของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่บ้านหนองบัวบานก่อน (ต่อมาบริเวณนี้ได้กลายเป็นวัดป่านิโครธาราม) องค์ท่านเองได้เป็นพระพี่เลี้ยง พระอาจารย์จันทร์เรียน และได้ร่วมวิเวกด้วยกันหลาย ต่อหลายแห่ง และได้พบกันบ้างเมื่อติดตามหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เข้าป่าไป มีเรื่องอภินิหารที่ได้รับฟังจากประสบการณ์ของหลวงพ่อจันทร์เรียน ครั้นที่ท่านทั้ง ๒ อยู่ร่วมกันหลายเรื่อง แต่ถ้าเล่าไปคงต้องโดนท่านเข่น ภายหลังแน่ ฉะนั้นไปสอบถามท่านเองดีกว่า
#หลังจากนั้นองค์หลวงปู่ลี ท่านก็ได้มาอยู่ที่ดอยน้ำจั่น ใครไปภูสังโฆ คงเห็นป้ายอยู่ ปัจจุบันท่านพระอาจารย์สมหมาย อริโย ศิษย์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว มาอยู่ดูแลแทน และได้ตั้งเป็นวัดดอยน้ำจั่น บ.ห้วยไร่ ต.อุบมุง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี สมัยที่หลวงปู่ลี ไปอยู่เกิดเหตุการณ์ถูกรบกวนจากพวกนายหน้าตัดไม้ทำลายป่า เข้ามาก่อกวน ท่านจึงวิเวกมาอยูที่ วัดป่าภูทอง บ.ภูทอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เดิมที หลวงปู่มหาบุญมี สิรินธโร มาสร้างไว้ ก่อนไปอยู่ถ้ำและวัดป่าวังเลิง จ.มหาสารคาม ตามลำดับ
#ซึ่งปัจจุบันเจ้าอาวาส วัดป่าภูทอง คือ หลวงปู่คูณ สุเมโธ (ศิษย์ หลวงปู่สิงห์ทอง หลวงปู่ฝั้น หลวงตามหาบัว) หลังจากนั้น หลวงปู่ลี ก็ออกมาวิเวก ไปแถบภูลังกาต่อ ที่นี่ หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ (วัดป่าบ้านนาคูณ) เคยมาอยู่ก่อนแล้ว (คนละด้านกับวัดถ้ำยา ของ หลวงปู่วัง ฐิติสาโร ศิษย์หลวงปู่ใหญ่มั่น เป็นเจ้าอาวาส)

#พระธรรมเทศนา (ภาษาอิสาน) หลวงปู่ลี กุสลธโร

“…บ่ทันนาน คั่นจิตเป็นปัจจุบันอยู่ฮั่น บ่เห็นหนึ่งต้องแนวหนึ่งหละ มันซิเกิดเฮ็ดให้มันเป็นปัจจุบัน อดีตที่ล่วงมาแล้ว ก็อย่าไปคำนึงเลย มันก็ออกไปจากปัจจุบันนั่นหละ อนาคตคือกัน มันออกไปจากปัจจุบันนี่ละ อย่าไปคำนึงมันเลย คุมมันเข้า เบิ่ง ให้เบิ่งหัวใจเจ้าของนั่นละ อย่าไปเบิ่งหัวใจผู้อื่น… คั่นคุมเจ้าของแท้ๆ ต้องเห็น คั่นพิจารณาสภาพร่างกายก็พิจารณาอยู่ฮั่น แต่พื้นเท้ามาศีรษะ แต่ศีรษะลงมาพื้นเท้า ให้พิจารณาอยู่ฮั่น เอาแหมะ ๒๔ ชั่วโมงนี่ บ่ให้มันปากมาเลย ต้องเกิดแน่… อันนี้หัวใจมันแลนอยู่นำโลกนำสงสารพุ่น มันบ่ปักมั่น แล้วซิเห็นหยังฮั่น คือกินข้าวเนี่ย กินนอนอยู่ ย้ายไปนั่น นอนอยู่ก็ไปฮั่น นอนก็ไปนี่ เลยบ่อิ่มจักที นี่เรื่องมัน
เอ้า พิจารณามันซี คั่นคุมเข้าแท้ๆ มันซิต้องจับได้เงื่อน เดี๋ยวมันซิเกิดอันนั้นเกิดอันนี่โลด นี่เฮ็ดจริงทำจริงมันต้องรู้จริง… ไอ้ พิจารณาโตนี่ละ โตสำคัญ ถ้าหากว่าได้จับจุดได้ละ เออ มันซิออกอุทานบัดทีนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อริยสัจทั้งนั้น… คั่นตีแตกอริยสัจนี่ได้แล้ว ฮ่วย! กราบพระพุทธเจ้ากราบครูอาจารย์ โอ๊ย มันก็กราบอยู่จังซั่นหละ หมดคืนหละ นี่ เพิ่นเว่าจริงเฮ็ดจริง มันซิประมวลมาหมดดอก อันพระพุทธเจ้าเพิ่นเห็นนะ มันซิมาเกิดจากใจเฮานี่ละ… ให้พากันเร่งความพากความเพียร…”
#ท่านระลึกชาติในภพที่เกิดเป็นช้างว่า ท่านเป็นช้างชื่อว่า “คำต้น” เจ้าของช้างชื่อพ่อส่วน เขามีลูกสาว ๒ คน ชื่ออีหวัน และอีพัน ถูกเขาใช้ลากซุงเสมอ ส่วนนายควาญช้างชื่อว่า “บักคำต้น” เหมือนกับชื่อของท่าน… ท่านระลึกย้อนในภพชาติหลังๆ ของท่านมักเกี่ยวข้องกับหลวงตาเสมอ
#พรรษาแรกท่านจำพรรษาที่วัดป่าทรงคุณ จังหวัดปราจีนบุรี อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม แม้อายุพรรษามากท่านมักวางตนเป็นเสมือนผู้น้อย มักติดตามหลวงตามหาบัวไปตามสถานที่ต่างๆ เสมือนเณรน้อยๆ ท่านเป็นศิษย์ที่ซื่อสัตย์ เคารพยำเกรงและปฏิบัติตามคำสอนครูบาอาจารย์ อย่างหาที่ติมิได้ ท่านได้รับการยกย่องจากหลวงตาว่าเป็น “เศรษฐีธรรม” และหลวงตามักเรียกนามท่านสั้นๆว่า “ธรรมลี” อดีตสะท้อนปัจจุบันเป็นที่อัศจรรย์เสมอในบุญบารมี ใครจะคาดคิดได้ว่า พระรูปร่างเล็กๆ อยู่ในป่า ไม่มีโวหารเทศนาต้อนรับแขกผู้มาเยือนเช่นท่านจะสามารถหาทองคำช่วยชาติกับหลวงตาได้ถึง ๕๐๐ กว่ากิโลกรัม คิดเป็นเงินหาน้อยไม่ ขอเกาะชายฝ้าเหลืองไปด้วยนะ ท่านเล่าว่า อดีตชาติท่านเกิดเป็นสุนัขรับใช้องค์หลวงตามาหลายภพชาติ แม้ในภพชาติที่เป็นสุนัข นั้น หลวงตาก็ได้เมตตาอบรมสั่งสอน ดัดนิสัยจนเป็นสุนัขที่มีนิสัยดี ไม่เกเร นอกจากนั้น ท่านยังเคยเกิดเป็นช้าง…
#ภายหลังปี พ.ศ.๒๕๓๓ หลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านได้สร้างวัดภูผาแดง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี และได้อยู่จำพรรษาที่วัดแห่งนี้มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
และในวันเสาร์ที่ ๓ พ.ย.๒๕๖๑ เวลา ๑๕.๑๕ น. องค์หลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านได้ละสังขารอย่างสงบ ณ กุฏิปลอดเชื้อ วัดภูผาแดง สิริอายุ ๙๖ ปี ๑ เดือน ๑๑ วัน พรรษา ๖๙

ที่มา เพจ วิทยุหลวงตามหาบัว

 



เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แสดงความคิดเห็น